วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปิรามิด


 ปิรามิด ( Pyramid ) 
 

          ท่ามกลางที่ราบอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เปลวแดดที่ร้อนระอุไปทั่วผืนทะเลทราย แผ่นดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงสีแดง สิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่ตั้งสง่าสะดุดสายตาเมื่อได้พบเห็น สิ่งนั้นคือ ปิรามิด (Pyramid) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อท้าทายกระแสลม แสงแดดที่แผดเผามาเป็นเวลานานหลายพันปี เพื่อแสดงถึงอารยธรรม -โบราณของมนุษย์ ต่อสายตาชาวโลกยุคใหม่ที่ยังคงฉงนสนเท่ไม่น้อยเมื่อมาพบเห็น
         ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 แห่งด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี
         ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่า มหาปิรามิด
         - ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 5770,000 ตาราง 768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว
          - ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร
         สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้ อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต
         ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง
       
           ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็น 
ปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว
       ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน
       สิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายใกล้แม่น้ำไนล์ก็คือ หมู่ปิรามิดแห่งอียิปต์ ปิรามิดสร้างโดยชาวอียิปต์โบราณมาเกือบ 5000 ปีมาแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งก่อ
สร้างท
ี่ เก่าแก่ที่สุดในบรรดา 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณด้วย และที่สำคัญก็คือเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
           ปิรามิดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติ ของปิรามิดได้แก่ เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรณ์ล่าสัตว์
       ปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดและประทับใจที่สุดคือ ปิรามิดของกษัตริย์คีอ็อปส์ ที่กีซา สร้างเสร็จเมื่อประมาณ 2580 ปีกอนคริสตกาล โดยมีผู้ก่อสร้างหลายพันคนและใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 30 ปี ปิรามิดแห่งกีซานี้สูงประมาณ 137 เมตร(449 ฟุต) ฐานแต่ละด้านยาว 230 เมตร(755 ฟุต) ใช้หินในการก่อสร้างทั้งหมด 2 ล้านก้อน แต่ละก้อนหนักประมาณ 2300 กิโลกรัม ใกล้กับปิรามิดใหญ่นี้มีปิรามิดเล็กๆอีก 3 องค์ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของพระราชินีองค์สำคัญๆของกษัตริย์คีอ็อปส์ ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้ใช้เครื่องจักรในการสร้างปิรามิด มีแต่เพียงแรงงานมนุษย์กับเครื่องมือธรรมดาๆในการก่อสร้างเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ผู้ที่สร้างปิรามิดไม่ใช่พวกทาส แต่เป็นช่างฝีมือและชาวนาที่อยู่ว่างในระหว่างที่น้ำจากแม่น้ำไนล์ท่วมพื้นที่ทำการเกษตรของตน แม้ว่าประชาชนนับพันๆคนที่มาช่วยสร้างปิรามิดจะทำงานเพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้า แต่ทุกคนก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างที่ฝังพระศพของกษัตริย์ที่พวกเขานับถือเป็นเทพเจ้า
          การสร้างปิรามิดนั้นเริ่มจากการหาสถานที่ที่เหมาะสม และ ใช้ดวงดาวช่วยในการวางราก ฐาน ดังนั้นจึงพบว่าฐานทั้งสี่ด้านของปิรามิดที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะหันไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เมื่อวางรากฐานเรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มก่อปิรามิดเป็นชั้นๆสูงขึ้นไป โดยเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางออกไปด้านนอก วัสดุที่ใช้สร้างปิรามิดคือหินที่สกัดมาจากภูเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำไนล์ การขนย้ายก็ทำด้วยความยากลำบากเพราะไม่มีเครื่องทุ่นแรงหรือพาหนะอย่างใดเลย แต่ใช้เชือกและแรงงานคนลากมาจนถึงบริเวณก่อสร้างในสมัยโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ปิรามิดสร้างด้วยความยากลำบากจากหยาดเหงื่อแรงงานและกำลังใจของประชาชน จึงทำให้ปิรามิดได้รับการจัดลำดับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
        
       ความน่าทึ่งของปิรามิด ทำให้คนเป็นจำนวนมากไม่เชื่อว่าสิ่งก่อสร้างรูปทรงเรขาคณิตที่มีขนาดใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์แห่งนี้ ถูกสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ เพราะหินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมากจนเทคโนโลยีบัจจุบันยังยกไม่ขึ้น แต่หินเหล่านั้นกลับถูกยกขึ้นไปวางทับซ้อนกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว อย่าง พิสดาร เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ยุคนี้จะสามารถหาคำตอบมาตอบได้อย่างกระจ่าง คำตอบต่างๆ ที่นักวิทยาศาตร์พยายามเสนอวิธีการก่อสร้างต่างๆ นั้นเป็นเพียงแค่ ทฤษฎี เท่านั้น ยังไม่มีมนุษย์คนใดในยุคนี้ที่คิดสร้างปิรามิดให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่า มหาปิรามิดที่สร้างด้วยฝีมือคนโบราณ ..... และมันยังคงเป็นโจทย์ที่ต้องหาข้อสรุปต่อไปว่า
" ใครเป็นผู้สร้างปิรามิดกันแน่ "

รูปสัตว์น่าเกลียด..ที่ทุกคนแขยงมัน กรี๊สสสสสสส

สัตว์น่าเกลียด..ที่ทุกคนแขยงมัน กรี๊สสสสสสส



1. อันนี้โค-ต-ร ตุ๊กแก
2.แมลงสาบ


3.ตะขาบ

4.กิ้งกือ

5.งู..อันนี้ไม่เท่าไหร่ 5555+

6.จิ้งจก หรือไอ้น้องตัวที่ 1

7.ตระกูลกบ

8.แมงมุม ขยุ้มหลังคา

คู่มือการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 5,000 บาท


คู่มือการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 5,000 บาท

น้ำท่วม
คู่มือการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 5,000 บาท

        คู่มือการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ 5,000 บาท สำหรับอุทกภัยในพื้นที่กรุงเทพมหานครตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 จัดทำโดย ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยฯ กรุงเทพมหานคร วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554

1. เหตุผลความจำเป็นการช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000 บาท

        เนื่องมาจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ได้ก่อให้เกิดปริมาณน้ำก้อนใหญ่ไหลบ่าเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครและแผ่ขยายไปตามพื้นที่เขตต่าง ๆ ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยฯ กรุงเทพมหานคร พิจารณาแล้วเห็นว่า สถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2554 จนถึงปัจจุบันเป็นเหตุให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำเหนือไหลบ่าเข้าในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร โดยเหตุภัยพิบัติในครั้งนี้เป็นสถานการณ์ค่อนข้างรุนแรง มีปริมาณน้ำเหนือสะสมมาก ทำให้ประชาชนในพื้นเขตต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานครได้รับผลกระทบและทรัพย์สินได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก บ้านเรือนที่อยู่อาศัยประจำของราษฎรและทรัพย์สินได้รับความเสียหาย

        ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยและเป็นการบำบัดทุกข์บำรุงสุขในเบื้องต้นจึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความช่วยเหลือครัวเรือนผู้ประสบภัยครัวเรือนละ 5,000 บาท เงินช่วยเหลือจำนวนนี้จะเป็นเงินที่ผู้ประสบภัยนำมาใช้จ่ายในการดำรงชีวิตระหว่างที่กำลังฟื้นฟูสภาพความเสียหาย ยังไม่สามารถประกอบอาชีพเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว

2. หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือ

          2.1 หลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยที่มีบ้านเรือนอยู่อาศัยประจำใน ๒ กรณี ดังนี้

                    2.1.1 น้ำท่วมถึงบ้านพักอาศัยโดยฉับพลันและทรัพย์สินได้รับความเสียหาย

                    2.1.2 บ้านพักอาศัยถูกน้ำท่วมขังติดต่อกันไม่น้อยกว่า 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย

คำอธิบาย หลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือให้ราษฎรผู้ประสบอุทกภัยที่มีที่อยู่อาศัยประสบภัยจะต้องเป็น ไปตามกรณี ดังนี้

                    กรณีตามข้อ 2.1.1 บ้านพักอาศัยจะต้อง...

                    - ถูกน้ำท่วมถึงบ้านโดยฉับพลัน
                    - ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และ
                    - อยู่ในเขตพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ

                    กรณีตามข้อ 2.1.2 บ้านพักอาศัยจะต้อง

                    - ถูกน้ำท่วมขังติดต่อกันไม่น้อยกว่า 7 วัน
                    - ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และ
                    - อยู่ในเขตพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ

          2.2 เงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยที่มีบ้านเรือนอยู่อาศัยประจำ

                    2.2.1 ทั้ง 2 กรณีต้องเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยประจำในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและมี
หนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่สำนักงานเขตออกให้เท่านั้น

                    2.2.2 กรณีที่มีผู้ประสบภัยซ้ำซ้อนทั้ง 2 กรณี ให้ได้รับความช่วยเหลือเพียงกรณีเดียว ทั้งนี้การดำเนินการช่วยเหลือทุกขั้นตอนครั้งนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน

3. ลักษณะครัวเรือนที่อยู่อาศัยที่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์

          3.1 บ้านพักอาศัยที่มีทะเบียนบ้าน

          3.2 บ้านเช่า ผู้เช่าเป็นผู้ได้รับเงินช่วยเหลือในกรณีบ้านพักอาศัย/บ้านเช่ามีหลายชั้นให้ได้รับเงินช่วยเหลือ
เฉพาะชั้นที่มีน้ำท่วมถึงเท่านั้น

คำอธิบายลักษณะที่อยู่อาศัยของครัวเรือนที่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจะต้องเป็น

          1. บ้านพักอาศัยที่มีทะเบียนบ้านและถูกน้ำท่วมถึง หรือ

          2. เช่าบ้านอยู่อาศัยและอยู่อาศัยในชั้นที่ถูกน้ำท่วมถึง โดยบ้านเช่านั้นอาจจะแบ่งเช่าเป็นห้อง
หรือเช่าทั้งหลังมีทะเบียนบ้านหรือไม่มีทะเบียนบ้านก็ได้

4. หลักฐานการแสดงสิทธิขอรับการช่วยเหลือ

          4.1 กรณีบ้านพักอาศัยที่มีทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้านหรือผู้ได้รับมอบอำนาจขอหนังสือรับรองจาก
สำนักงานเขตเพื่อเป็นหลักฐานการใช้สิทธิ

          4.2 กรณีบ้านเช่าให้ใช้สัญญาเช่าหรือหนังสือรับรองจากเจ้าของบ้านเพื่อขอหนังสือรับรองจาก
สำนักงานเขต

คำอธิบาย หลักฐานการแจ้งสิทธิ ได้แก่ หนังสือรับรองจากสำนักงานเขตโดยการรับรองการเช่าบ้านตามข้อ 4.2 ให้พิจารณาตามหลักฐานที่มีอยู่หรือตามข้อเท็จจริง โดยจัดทำเป็นหนังสือและมีผู้รับรองตามที่กำหนดจัดเก็บไว้ที่สำนักงานเขตเพื่อเป็นหลักฐานพร้อมรับการตรวจสอบ

5. การตรวจสอบที่อยู่อาศัยที่ต้องตามหลักเกณฑ์ตามหลักวิทยาศาสตร์และตามหลักความเป็นจริง
        ให้สำนักงานเขตแต่งตั้งคณะกรรมการอย่างน้อย 5 คน ตรวจสอบคำร้องเพื่ออกหนังสือรับรองว่าเป็นผู้มีสิทธิขอรับการช่วยเหลือจริงในพื้นที่ประสบอุทกภัยและเร่งรัดการจ่ายเงินให้เป็นไปอย่างรวดเร็วเป็นธรรมและทั่วถึง ตลอดจนสร้างความเข้าใจในหลักเกณฑ์และแนวทางการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้กับผู้ปฏิบัติในระดับ
พื้นที่ได้อย่างถูกต้อง

คำอธิบาย ในการตรวจสอบผู้ประสบอุทกภัย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน-Gristda) ได้ถ่ายภาพและจัดทำรายละเอียดของพื้นที่ที่ประสบภัยไว้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่นำมาตรวจสอบความถูกต้องและการตรวจสอบสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่ขอรับความช่วยเหลือ เพื่อนำมาประกอบหลักฐานการตรวจสอบต่อไป

6. ขั้นตอนการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

          6.1 ศปภ.กทม. จัดให้มีการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้อำนวยการเขตและผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ
แนวทางการดำเนินการ

          6.2 ศปภ.กทม. ทำรายละเอียดเป็นคู่มือการปฏิบัติงานให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกพื้นที่เขต

          6.3 ให้คณะกรรมการตามข้อ 5 สำรวจข้อมูลรายละเอียดของผู้ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) ที่มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อออกหนังสือรับรองของสำนักงานเขต

          6.4 ให้สำ นักงานเขตจัดพิมพ์รายชื่อผู้มีสิทธิตามหนังสือรับรองที่สำ นักงานเขตออกให้ลงในแบบ ข.1 และ ข.2 และให้ผู้อำนวยการเขตลงนามรับรองในแบบฟอร์มข้อมูลก่อนนำส่งให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยฯ กรุงเทพมหานคร โดยสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผลจะจัดทำรายละเอียดแบบฟอร์มและชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการในภายหลัง

          6.5 ศปภ.กทม. ตรวจสอบความถูกต้องแล้วนำเสนอต่อปลัดกรุงเทพมหานครเพื่อลงนามรับรองว่าเป็นผู้มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือตามมติ ครม. นำส่งถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมกับส่งข้อมูล รายละเอียดจำนวนหลังคาเรือนที่ขอรับการช่วยเหลือทาง E-mail Address :bkk5000@hotmail.comทั้งนี้ ให้ ศปภ.กทม. ทยอยส่งข้อมูลและเอกสารตัวจริงส่งถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยด่วนที่สุด โดยสำนักงานเขตต้องเก็บเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ไว้เพื่อให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบต่อไป

          6.6 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตรวจสอบข้อมูลรายชื่อที่ได้รับจากกรุงเทพมหานครแล้วส่งให้ธนาคารออมสินเพื่อจ่ายเงินโดยด่วนที่สุด หลังจากที่ได้รับรายชื่อจากกรุงเทพมหานครและให้ธนาคารออมสินดำเนินการจ่ายเงินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

          6.7 ในระหว่างที่มีการอนุมัติเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือนั้น ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) จะมอบหมายให้คณะกรรมการอำ นวยการและกำ กับดูแลการจัดทำ ข้อมูลผู้ประสบภัยครัวเรือนละ 5,000 บาท ร่วมด้วยข้าราชการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงความถูกต้องของการเสนอรายชื่อครัวเรือนและกระบวนการจ่ายเงินช่วยเหลือต่าง ๆ หากพบความผิดปกติประการใด จะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายต่อไป

7. การจ่ายเงินของธนาคารออมสิน

        เมื่อมีการโอนเงินให้ธนาคารออมสินสาขาใดแล้ว ให้ ศปภ.กทม. ประสานงานและดำเนินการจัดทำแผนการจ่ายเงินแก่ผู้ประสบภัยในแต่ละเขตให้แล้วเสร็จโดยด่วนที่สุด หลังจากได้รับการโอนเงินขอให้สำนักงานเขตประสานธนาคารออมสินกำหนดรายละเอียดการจ่ายเงินตามที่ กรุงเทพมหานครจะได้แจ้งแนวทางวิธีการจ่ายเงินให้ทราบต่อไป โดยผู้รับเงินจะต้องนำหลักฐานไปแสดง ดังนี้

          7.1 หนังสือที่สำนักงานเขตออกให้

          7.2 บัตรประจำตัวประชาชน

          กรณีมารับด้วยตนเอง

          - ให้นำบัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริง ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่จ่ายเงิน และให้ลงลายมือชื่อรับเงินต่อหน้าเจ้าหน้าที่และให้เจ้าหน้าที่จ่ายเงินลงลายมือชื่อผู้จ่ายเงิน

          กรณีไม่สามารถมารับได้ด้วยตนเอง

          - หนังสือมอบฉันทะ (ผู้รับมอบฉันทะสามารถรับมอบได้เพียงรายเดียวและครั้งเดียวเท่านั้น
ไม่สามารถมอบฉันทะต่อได้)

          - บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงของผู้มอบและผู้รับมอบฉันทะ

คำอธิบาย ในการจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัยที่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือ ให้ธนาคารออมสินดำเนินการตามแผนการจ่ายเงินที่กรุงเทพมหานครได้ประชุมหารือร่วมกับธนาคารออมสิน และให้ธนาคารออมสินจัดทำรายงานการจ่ายเงินที่ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือไปแล้วในแต่ละวันส่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อรายงานต่อไป

8. แนวทางการปฏิบัติงานของกรุงเทพมหานคร

          8.1 เร่งรัดการสำรวจ ตรวจสอบ ส่งรายชื่อให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อตรวจสอบส่งให้ธนาคารออมสิน โดยด่วนที่สุด โดยให้ทยอยส่งเป็นรายแขวงและเขตที่มีจำนวนครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมที่จะจ่ายเงินได้
         
          8.2 หลังจากส่งรายชื่อให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแล้ว กรุงเทพมหานครประชุมหารือร่วมกับธนาคารออมสินและกองบัญชาการตำรวจนครบาล ในการกำหนดแผนการจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัยให้รวดเร็วทั่วถึง โดยเน้นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนมากที่สุด

ภาคผนวก

          ขั้นตอนการดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินจากอุทกภัย (หลังคาเรือนละ 5,000.- บาท) ศปภ.กทม.

          • ตรวจสอบข้อมูลและจัดทำแบบ จ.1 (กรุงเทพมหานคร) เสนอผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครลงนาม

          • ศปภ.กทม. จัดส่งข้อมูลให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมส่งข้อมูลรายละเอียดทาง e-mail address: bkk5000@hotmail.comโดยเก็บสำเนาคู่ฉบับ เพื่อให้สำนักงานตรวจสอบแผ่นดินตรวจสอบ

          • ศปภ.กทม.ประสานงานและดำเนินการจัดทำแผนการจ่ายเงินแก่ผู้ประสบภัยในแต่ละเขต เพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อได้รับเงินโอนจากธนาคารออมสิน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

          จัดส่งข้อมูลที่ได้รับจากกรุงเทพมหานครให้ธนาคารออมสิน เพื่อดำเนินการโอนเงินให้กรุงเทพมหานคร ตามที่ทำการสาขาที่ได้แจ้งไว้

สำนักงานเขต

          • ตั้งคณะกรรมการ (ไม่น้อยกว่า 5 คน) เพื่อตรวจสอบและกลั่นกรองผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือ

          • ดำเนินการสำรวจข้อมูลบ้านเรือนที่มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

          • จัดทำข้อมูลตามแบบ ท.1 (แขวง) และแบบ อ.1 (เขต) โดยให้ ผู้อำนวยการเขตรับรองแบบ อ.1 (เขต) ส่ง ศปภ.กทม. (ทางเอกสาร และ ทาง e-mail address: bma_flood@hotmail.com) *** ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้รับมอบหมาย ***

          • ให้สำนักงานเขตแจ้งชื่อสาขาธนาคารออมสินในพื้นที่ เพื่อธนาคารอำนวยความสะดวก ในการจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย

แนวทางการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ 5,000 บาท

1. เหตุผลความจำเป็นเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม และเป็นการบำบัดทุกข์บำรุงสุข

           ในเบื้องต้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2554 พิจารณาให้ความช่วยเหลือครัวเรือนผู้ประสบภัยครัวเรือนละ 5,000 บาท ซึ่งผู้ประสบภัยจะได้นำมาใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ระหว่างที่กำลังฟื้นฟูสภาพความเสียหาย ไม่สามารถประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงครอบครัว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือโดยเร็ว จำนวน 30 เขต คือ เขตบางซื่อ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตสัมพันธวงศ์ เขตสาทร เขตบางคอแหลม เขตยานนาวา เขตคลองเตย เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตธนบุรี เขตคลองสาน เขตราษฎร์บูรณะ เขตคลองสามวา เขตมีนบุรี เขตหนองจอก เขตลาดกระบัง เขตดอนเมือง เขตคันนายาว เขตจตุจักร เขตตลิ่งชัน เขตบางเขน เขตบางแค เขตภาษีเจริญ เขตลาดพร้าว เขตวังทองหลาง เขตสายไหม เขตหนองแขม เขตหลักสี่ และเขตทวีวัฒนา โดยให้ผู้อำนวยการเขตสำรวจ ตรวจสอบข้อมูล และออกหนังสือรับรองจัดทำแบบ ข 1 ,ข 2 ส่งให้ ศปภ.กทม. เพื่อให้ธนาคารออมสินเป็น ผู้จ่ายเงินให้กับผู้ประสบภัย

2. หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือ

           2.1 หลักเกณฑ์

          กรณีที่ (1) น้ำท่วมถึงบ้านโดยฉับพลัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย คือ ถูกน้ำท่วมบ้านโดยฉับพลัน ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และอยู่ในเขตพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ

          กรณีที่ (2) บ้านพักอาศัยถูกน้ำท่วมขังติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๗ วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย คือ ถูกน้ำท่วมขังไม่น้อยกว่า ๗ วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และอยู่ในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ

          2.2 เงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยพิบัติที่มีบ้านเรือนอยู่อาศัยประจำ ทั้ง ๒ กรณี ต้องมีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่ผู้อำนวยการเขตออกให้ และให้รับความช่วยเหลือได้เพียงกรณีเดียว

3. ลักษณะครัวเรือนที่อยู่อาศัยที่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์

          3.1 บ้านพักอาศัยที่มีทะเบียนบ้านและน้ำท่วมถึง

          3.2 บ้านเช่า ผู้เช่าเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือในกรณีบ้านพักอาศัย/บ้านเช่า/คอนโด/อพาร์ทเม้นต์ มีหลายชั้นให้ได้รับเงินช่วยเหลือเฉพาะชั้นที่น้ำท่วมถึงและทรัพย์สินเสียหาย คือ ครัวเรือนนั้นเช่าบ้านอยู่อาศัย และอยู่ในชั้นที่น้ำท่วมถึง โดยบ้านเช่านั้นอาจแบ่งเช่าเป็นห้อง หรือเช่าทั้งหลังมีทะเบียนบ้าน

          3.3 กรณีอื่น ๆ นอกเหนือจาก ข้อ 3.1 และ 3.2 เช่น สิ่งปลูกสร้างที่อยู่อาศัยมีลักษณะถาวร หรือชั่วคราวที่ครัวเรือนอาศัยอยู่เป็นประจำโดยไม่มีทะเบียนบ้าน เช่น บ้านพักคนงาน

4. หลักฐานการแสดงสิทธิขอรับการช่วยเหลือ

          4.1 กรณีบ้านพักอาศัยที่มีทะเบียนบ้านให้เจ้าบ้าน/หัวหน้าครอบครัว/ผู้ได้รับมอบอำนาจ ยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และทะเบียนบ้านที่ประสบภัย (กรณีไม่สามารถนำทะเบียนบ้านมาแสดงได้ ให้ตรวจสอบจากสำนักทะเบียนของสำนักงานเขตเอง) เพื่อขอหนังสือรับรองจากสำนักงานเขต (กรณีมอบอำนาจให้มีหนังสือมอบอำนาจและแนบบัตรประจำตัวประชาชนผู้มอบอำนาจ)

          4.2 กรณีบ้านเช่าให้ใช้สัญญาเช่า/หนังสือรับรองการเช่าจากเจ้าของบ้านเช่า พร้อมหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัว ประชาชนผู้ร้อง และทะเบียนบ้านที่ประสบภัย(กรณีไม่สามารถนำทะเบียนบ้านมาแสดงได้ให้ตรวจสอบจากสำนักทะเบียนของสำนักงานเขตเอง) เพื่อขอหนังสือรับรองจากสำนักงานเขต

          4.3 หลักฐานอื่น ๆ ตามข้อ 3.3 ให้ใช้พยานบุคคล หรือที่ผู้อำนวยการเขตเห็นสมควร กรณีมีข้อสงสัย/สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศปภ.กทม. หมายเลขโทรศัพท์ 0 2223 1835

พายุ



เห็นพักนี้ มีปรากฎการณ์ทางะรรมชาติที่นำมาซึ่งความสูญเสียอยางใหญ่หลวงมากมาย
ให้นำมาซึ่งความสงสัยว่า พายุ เขาแบ่งประเภทกันอย่างไร
เมฆพายุหมุนเหนือเมือง Enschede ประเทศเนเธอร์แลนด์พายุ คือ สภาพบรรยากาศที่ถูกรบกวนแบบใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะที่มีผลกระทบต่อพื้นผิวโลก และบ่งบอกถึงสภาพอากาศที่รุนแรง เวลากล่าวถึงความรุนแรงของพายุ จะมีเนื้อหาสำคัญอยู่บางประการคือ ความเร็วที่ศูนย์กลาง ซึ่งอาจสูงถึง 400 กม./ชม. ความเร็วของการเคลื่อนตัว ทิศทางการเคลื่อนตัวของพายุ และขนาดความกว้างหรือเส้นผ่าศูนย์กลางของตัวพายุ ซึ่งบอกถึงอาณาบริเวณที่จะได้รับความเสียหายว่าครอบคลุมเท่าใด ความรุนแรงของพายุจะมีหน่วยวัดความรุนแรงคล้ายหน่วยริกเตอร์ของการวัดความรุนแรงแผ่นดินไหว มักจะมีความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
พายุแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท คือ
1. พายุฝนฟ้าคะนอง มีลักษณะเป็นลมพัดย้อนไปมา หรือพัดเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน อาจเกิดจากพายุที่อ่อนตัวและลดความรุนแรงของลมลง หรือเกิดจากหย่อมความกดอากาศต่ำ ร่องความกดอากาศต่ำ อาจไม่มีทิศทางที่แน่นอน หากสภาพการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ของการเกิดฝนเหมาะสม ก็จะเกิดฝนตก มีลมพัด 
2. พายุหมุนเขตร้อนต่าง ๆ เช่น เฮอร์ริเคน ไต้ฝุ่น และไซโคลน ซึ่งล้วนเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน และจะเกิดขึ้นหรือเริ่มต้นก่อตัวในทะเล หากเกิดเหนือเส้นศูนย์สูตร จะมีทิศทางการหมุนทวนเข็มนาฬิกา และหากเกิดใต้เส้นศูนย์สูตรจะหมุนตามเข็มนาฬิกา โดยมีชื่อต่างกันตามสถานที่เกิด กล่าวคือ 
พายุเฮอร์ริเคน (hurricane) เป็นชื่อเรียกพายุหมุนที่เกิดบริเวณทิศตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติก เช่น บริเวณฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อ่าวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน เป็นต้น รวมทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณชายฝั่งประเทศเม็กซิโก 
พายุไต้ฝุ่น (typhoon) เป็นชื่อพายุหมุนที่เกิดทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ เช่น บริเวณทะเลจีนใต้ อ่าวไทย อ่าวตังเกี๋ย ประเทศญี่ปุ่น 
พายุไซโคลน (cyclone) เป็นชื่อพายุหมุนที่เกิดในมหาสมุทรอินเดีย เหนือ เช่น บริเวณอ่าวเบงกอล ทะเลอาหรับ เป็นต้น แต่ถ้าพายุนี้เกิดบริเวณทะเลติมอร์และทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย จะเรียกว่า พายุวิลลี-วิลลี (willy-willy) 
พายุโซนร้อน (tropical storm) เกิดขึ้นเมื่อพายุเขตร้อนขนาดใหญ่อ่อนกำลังลง ขณะเคลื่อนตัวในทะเล และความเร็วที่จุดศูนย์กลางลดลงเมื่อเคลื่อนเข้าหาฝั่ง 
พายุดีเปรสชัน (depression) เกิดขึ้นเมื่อความเร็วลดลงจากพายุโซนร้อน ซึ่งก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองธรรมดาหรือฝนตกหนัก 
พายุทอร์นาโด (tornado) เป็นชื่อเรียกพายุหมุนที่เกิดในทวีปอเมริกา มีขนาดเนื้อที่เล็กหรือเส้นผ่าศูนย์กลางน้อย แต่หมุนด้วยความเร็วสูง หรือความเร็วที่จุดศูนย์กลางสูงมากกว่าพายุหมุนอื่น ๆ ก่อความเสียหายได้รุนแรงในบริเวณที่พัดผ่าน เกิดได้ทั้งบนบก และในทะเล หากเกิดในทะเล จะเรียกว่า นาคเล่นน้ำ (water spout) บางครั้งอาจเกิดจากกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า แต่หมุนตัวยื่นลงมาจากท้องฟ้าไม่ถึงพื้นดิน มีรูปร่างเหมือนงวงช้าง จึงเรียกกันว่า ลมงวง 
3. ลมสลาตัน เป็นชื่อภาษาไทยใช้เรียกลมแรงหรือพายุช่วงปลายฤดูฝนที่พัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศ

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ดาวเทียมธีออส


ดาวเทียมธีออส

ดาวเทียมธีออส

เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก funscience.gistda.or.th

          ดาวเทียมธีออส ทะยานขึ้นฟ้า 6 สิงหาคมนี้ ... ได้ฤกษ์ยิงดาวเทียม "ธีออส" ขึ้นวงโคจร จากประเทศรัสเซีย 6 สิงหาคมนี้ ... หลายวันมานี้สื่อจากสำนักต่างๆ ให้ความสำคัญกับ "ดาวเทียมธีออส"เนื่องจากตั้งตารอคอยกันมานานแล้วว่าเมื่อไหร่ "ดาวเทียมธีออส" จะทะยานขึ้นสู่อวกาศสักที หลังจากเจอโรคเลื่อนมาหลายครั้งหลายครา โดยทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแจ้งว่า วันที่ 6 สิงหาคมนี้จะมีการยิงดาวเทียมธีออสขึ้นวงโคจรแน่นอน แต่แล้วฤกษ์ยิงดาวเทียมธีออสก็ต้องเลื่อนอีกอย่างไม่มีกำหนดซะงั้น อย่างไรก็ตามหลังจากมีสื่อนำเสนอเรื่องดาวเทียมธีออสก็ทำให้หลายคนสนใจ และอยากรู้ประวัติดาวเทียมนี้ทันที … เจ้าดาวเทียมที่ว่ามันคืออะไร มีที่ไปที่มาอย่างไร และมีคุณสมบัติพิเศษยังไง วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบมาบอกกันค่ะ...

          ดาวเทียมธีออส (THEOS) เป็นคำอ่านของคำย่อ THEOS ที่มาจาก Thailand Earth Observation Systems หมายถึงระบบสำรวจพื้นผิวโลกโดยใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายจากดาวเทียมของประเทศไทย ส่วนคำว่า Theos เป็นภาษากรีก แปลว่า พระเจ้า

          สำหรับดาวเทียมธีออส เป็นดาวเทียมสำรวจข้อมูลระยะไกล (Remote Sensing) เพื่อใช้สำรวจทรัพยากรธรรมชาติดวงแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฝรั่งเศส เมื่อปี 2547 โดยมีสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ดำเนินงานรับผิดชอบร่วมกับบริษัทเอียดส์ แอสเตรียม (EADS Astrium) ประเทศฝรั่งเศส ด้วยงบประมาณ 6,440 ล้านบาท

          คุณลักษณะของดาวเทียมธีออสคือ มีน้ำหนัก 750 กิโลกรัม มีวงโคจรสูงจากพื้นโลก 820 กิโลเมตร โคจรรอบโลกทุก 26 วัน มีกล้องถ่ายภาพ 2 กล้อง ที่ใช้ระบบซีซีดี เป็นดาวเทียมที่มีความสามารถในการถ่ายภาพรายละเอียดสูงได้ สามารถบันทึกภาพจากการสะท้อนแสงของพื้นโลกได้ (ความละเอียดในการบันทึกภาพชัดเจนในพื้นที่ขนาด 2 และ15 ตารางกิโลเมตร โดยมีรายละเอียดของภาพขาว-ดำ (Panchromatic) 2 เมตร ความกว้างแนวถ่ายภาพ 22 กิโลเมตร

          ส่วนภาพสี (Multi-Spectral) 4 ช่วงคลื่น รายละเอียดภาพ 15 เมตร แต่ละภาพมีความกว้างของแนวถ่ายภาพ 90 กิโลเมตร มีอายุการใช้งาน 5 ปี นอกจากนี้ ในระบบการถ่ายภาพสียังสามารถถ่ายภาพในช่วงคลื่นแสงที่ตามองเห็น 3 ช่วงคลื่น (ช่วงคลื่นแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน) และช่วงคลื่นแสงที่ตามองไม่เห็น (คลื่นอินฟราเรดใกล้ - NearIR) อีก 1 ช่วงคลื่น

ประโยชน์ของดาวเทียมธีออส ได้แก่...  

         1. ภาพจากดาวเทียมสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งน้ำ และสามารถนำไปใช้ในการติดตามและประเมินความเสียหายจากอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

         2. ใช้ในการสำรวจศึกษาหาพื้นที่ป่าไม้ หาพื้นที่ป่าถูกบุกรุกทำลาย ถูกไฟไหม้ การสำรวจหาพื้นที่สวนป่าและหาชนิดป่า

         3. ใช้ในการสำรวจหามลพิษจากคราบน้ำมันในทะเล หาแหล่งน้ำ หาพื้นที่ประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ

         4. ใช้เป็นข้อมูลการจัดทำแผนที่ภูมิประเทศ แผนที่ธรณีวิทยา ธรณีสัณฐานของประเทศไทย

         5. ใช้ในการศึกษาหาพื้นที่เพาะปลูก การคาดการณ์ผลผลิต ประเมินความเสียหายจากภัยธรรมชาติและศัตรูพืช ตลอดจนการวางแผนกำหนดเขตเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ

         6. ใช้ในการสำรวจศึกษาและติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้อย่างต่อเนื่อง

         7. ใช้ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของชุมชน อีกทั้งสามารถเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวิเคราะห์ เพื่อวางแผนพัฒนาการวางผังเมือง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปการต่างๆ 

         8. ภาพถ่ายจากดาวเทียมธีออสสามารถนำมาขายเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทย

         9. ภายใต้สัญญาสร้างดาวเทียมธีออส ประเทศฝรั่งเศสจะปรับปรุงสถานีรับสัญญาณดาวเทียมของไทยให้สามารถรับสัญญาณจากดาวเทียม SPOT ได้ และให้สิทธิ์ในการรับสัญญาณดาวเทียม SPOT-2, 4 และ 5 เพื่อให้หน่วยงานราชการได้ใช้ประโยชน์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้แต่ละหน่วยงาน นำไปใช้ประโยชน์ตามภารกิจของหน่วยงาน

        สำหรับการปล่อยดาวเทียมธีออสสู่อวกาศ จะใช้จรวดเน็ปเปอร์ (DNEPR) ของบริษัทคอสโมทราส ประเทศรัสเซีย เป็นจรวดนำส่ง จากฐานปล่อยจรวดศูนย์อวกาศยัชนี ประเทศรัสเซีย และสถานีรับสัญญาณดาวเทียมตั้งอยู่ที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร มีสถานีควบคุมดาวเทียมภาคพื้นดินอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

        เดิมทีมีกำหนดการส่งดาวเทียมธีออสขึ้นสำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทยในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 แต่ได้เลื่อนกำหนดส่งเป็น 9 มกราคม พ.ศ.2551 และถูกเลื่อนอีกครั้งเป็นวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551 แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากประเทศคาซัคสถานไม่ยินยอมให้เศษชิ้นส่วนดาวเทียมตกยังประเทศของตน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้เจรจากับรัฐบาลคาซัคสถาน ซึ่งไม่มีปัญหาใดๆ เพราะเศษชิ้นส่วนดังกล่าวจะตกลงบริเวณทะเลทราย ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้ จึงไม่สามารถระบุได้ว่าจะเลื่อนเป็นวันที่เท่าไหร่

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รีโมตเซนซิงช่วงคลื่นแสง

 รีโมตเซนซิงช่วงคลื่นแสง
 รีโมตเซนซิงช่วงคลื่นแสง (Optical remote sensing) เป็นการบันทึกข้อมูลในช่วงคลื่นแสง ได้แก่ ช่วงคลื่นแสงตามองเห็น (visible), อินฟราเรดใกล้ (near infrared) และอินฟราเรดคลื่นสั้น (shortwave infrared) จากการสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์เมื่อตกกระทบวัตถุบนพื้นผิวโลก
วัตถุแต่ละชนิดมีการสะท้อนและดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงคลื่นแตกต่างกัน ค่าการสะท้อนเชิงคลื่นของแต่ละวัตถุนี้เรียกว่า "ลายเซ็นการสะท้อนเชิงคลื่น (spectral reflectance signature)" ซึ่งเป็นลักษณะที่ใช้แยกความแตกต่างของวัตถุแต่ละชนิด เช่น ค่าการสะท้อนแสงของน้ำโดยทั่วไปจะต่ำ แต่จะมีการสะท้อนสูงที่ปลายคลื่นน้ำเงิน ซึ่งทำให้น้ำใสจะปรากฏเป็นสีน้ำเงินเข้ม   ดินจะมีค่าการสะท้อนสูงกว่าพืชไปจนถึงช่วงคลื่นอินฟราเรด ค่าการสะท้อนของดินขึ้นอยู่กับส่วนผสมของดิน ตัวอย่างดินที่แสดงในภาพจะปรากฏเป็นสีน้ำตาล   ส่วนพืชจะมีค่าการสะท้อนแสงที่แตกต่างดินและน้ำ คือ ค่าการสะท้อนจะต่ำในช่วงคลื่นน้ำเงินและแดง ในขณะที่จะมีค่าการสะท้อนสูงที่ช่วงคลื่นเขียวและช่วงคลื่นใกล้อินฟราเรด

การสะท้อนพลังงานของน้ำ

น้ำจะเป็นสารที่มีความสามารถในการดูดกลืนได้ดีในแทบทุกความยาวคลื่นลายเซ็นเชิงคลื่นของน้ำจึงอยู่ในระดับต่ำ ช่วงคลื่นที่น้ำมีการสะท้อนแสงเห็นได้ชัดเจนคือ 0.4-0.75 ไมครอน
การสะท้อนพลังงานของน้ำใสสูงที่สุดที่ปลายช่วงคลื่นสีน้ำเงินประมาณ 0.57 ไมครอน และลดลงตามความยาวคลื่นที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นภาพของพื้นที่น้ำใสจะปรากฏเป็นสีน้ำเงินเข้มถึงดำ
  การสะท้อนแสงของน้ำนอกจากจะขึ้นอยู่กับธรรมชาติของน้ำเองแล้วยังขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ที่ปนในน้ำด้วย กรณีที่แหล่งน้ำมีสิ่งเจือปนหรือสารแขวนลอยต่าง ๆ เช่น ตะกอน สารเคมี จะมีผลให้รูปร่างของลายเซ็นเชิงคลื่นเปลี่ยนไป น้ำขุ่นหรือน้ำที่มีตะกอนดินจะมีการกระจายของแสงโดยสารแขวนลอย จะมีการสะท้อนพลังงานปลายช่วงคลื่นสีแดง ดังนั้น น้ำขุ่นจึงปรากฏเป็นสีน้ำตาล

สารเจือปนที่เป็นคลอโรฟิลล์หรือพืชในน้ำจะดูดกลืนแสงทำให้การสะท้อนแสงลดลง โดยเฉพาะในช่วงคลื่นสีน้ำเงินและสีแดง แต่มีการสะท้อนเพิ่มขึ้นในช่วงคลื่นสีเขียว ดังนั้น ในการศึกษาคุณภาพน้ำจะใช้ข้อมูลการสะท้อนพลังงานในช่วงคลื่นสีเขียว (0.5-0.6 ไมครอน)
พื้นแหล่งน้ำมีอิทธิพลต่อการสะท้อนแสงในช่วงคลื่นต่าง ๆ เช่น ที่ความยาวคลื่นประมาณ 0.5-0.6 ไมครอน จะสามารถเห็นพื้นน้ำที่ลึกได้ 18 เมตร ที่ความยาวคลื่นประมาณ 0.6-0.7 ไมครอนจะเห็นพื้นน้ำที่ลึก 3 เมตร ที่ความยาวคลื่นประมาณ 0.7-0.8 ไมครอน จะเห็นได้ลึก 1 เมตร
สำหรับการสำรวจหาตำแหน่งและขอบเขตของแหล่งน้ำ จะใช้ภาพในช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้ เพราะน้ำจะดูดกลืนคลื่นแสงในช่วง 0.8 ไมครอนเป็นต้นไป จะเห็นแหล่งน้ำปรากฏเป็นสีดำ


การสะท้อนพลังงานของดิน

ลายเซ็นเชิงคลื่นของดินจะค่อนข้างเรียบง่ายกว่าของพืช เนื่องจากปรากฏการณ์การสะท้อนพลังงานของดินมี 2 อย่าง คือ ถูกดูดกลืนหรือถูกสะท้อน จะไม่มีการส่งผ่าน    ลายเซ็นเชิงคลื่นของดินจะเปลี่ยนแปลงตามค่าความชื้นในดิน โดยเฉพาะในย่านอินฟราเรดใกล้ ซึ่งจะสะท้อนได้สูงขึ้นถ้าความชื้นลดลง และจะใกล้เคียงกับการสะท้อนของพืชสีเขียวถ้าดินแห้ง
นอกจากนี้ การสะท้อนพลังงานของดินยังขึ้นกับองค์ประกอบของดิน ได้แก่ ความชื้นในดิน ปริมาณอินทรีย์วัตถุและ ปริมาณเหล็กออกไซด์ในดิน เนื้อดิน และความขรุขระของพื้นผิว ดังตัวอย่างลายเซ้นเชิงคลื่นของดินเหนียวและดินทราย (ภาพล่าง)
เนื้อดินมีความสัมพันธ์กับความชื้นในดินและการสะท้อนแสงของดิน ดินเหนียวมีอนุภาคขนาดเล็ก เรียงตัวอัดแน่น ช่องว่างระหว่างเม็ดดินแคบ น้ำไหลผ่านได้ยากจึงสามารถเก็บความชื้นในดินได้มากกว่าทรายซึ่งมีช่องว่างระหว่างดินกว้างกว่า และน้ำสามารถไหลผ่านได้ง่ายกว่า ดินที่มีความชื้นมากจะมีการสะท้อนแสงน้อยเนื่องจากมีการดูดกลืนพลังงานที่ตกกระทบได้มาก และมีการสั่นสะเทือนน้อย ดินเหนียวจึงมีค่าการสะท้อนแสงต่ำกว่าทราย
เนื้อดินและการเรียงตัวของเนื้อดินมีความสัมพันธ์ต่อความขรุขระและความราบเรียบของผิวหน้าดิน ดินเหนียวมีการเรียงตัวอัดแน่น ทำให้ผิวดินราบเรียบกว่าทรายที่ค่อนข้างขรุขระ ผิวที่ราบเรียบจะทำให้มีการสะท้อนแสงได้มากกว่า
สำหรับอิทธิพลของการดูดกลืนคลื่นแสงของน้ำที่ Water Absorption Bands ทั้งสาม (ความยาวคลื่น 1.4, 1.9 และ 2.7 ไมครอน) ยังคงมีอิทธิพลในดินเหนียวมากกว่าทราย เนื่องจากทรายจะปล่อยน้ำซึมได้สะดวก ดังนั้นถ้าทรายมีปริมาณความชื้นต่ำลงมาก (ร้อยละ 0-4) จะไม่มีอิทธิพลของ Water Absorption Bands นอกจากอิทธิพลของน้ำในช่วง Water Absorption Bands แล้ว ดินที่มีส่วนผสมของดินเหนียว เช่น ดิน silt loam ยังมีการสะท้อนแสงลดลงเนื่องจากการดูดกลืนของสารประกอบ hydroxyl ด้วย สำหรับ Hydroxyl Absorption Bands จะอยู่ในช่วงคลื่น 1.4 และ 2.2 ไมครอน โดยในช่วงคลื่น 1.4 ไมครอนจะเป็นช่วงคลื่นเดียวกันกับ Water Absorption Bands

การสะท้อนพลังงานของพืข

ในช่วงพลังงานแสงที่ตามองเห็น (0.4 - 0.7 ไมครอน) พืชสีเขียวจะมีการสะท้อนแสงค่อนข้างต่ำ เนื่องจากสารคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็น pigment ในใบไม้จะดูดกลืนแสงในย่านนี้ได้ดี โดยจะดูดกลืนพลังงานแสงที่ความยาวคลื่น 0.45 ไมครอน (สีน้ำเงิน) และ 0.65 ไมครอน (สีแดง) เรียกช่วงคลื่นนี้ว่า Chlorophyll Absorption Bands   พืชจะมีค่าการสะท้อนสูงสุดที่ความยาวคลื่น 0.54 ไมครอน (สีเขียว) ทำให้มองเห็นพืชที่อุดมสมบูรณ์เป็นสีเขียวเนื่องจากมีคลอโรฟิลล์มาก แต่เมื่อพืชขาดความอุดมสมบูรณ์ ไม่สามารถผลิตคลอโรฟิลด์ได้ดี มีการสะท้อนแสงสีแดงมาก จึงเห็นพืชเป็นสีเหลืองที่เกิดจากการรวมกันของสีเขียวและสีแดง

ในช่วงอินฟราเรดใกล้ (0.7 - 1.3 ไมครอน) พืชจะมีการสะท้อนแสงสูงที่ความยาวคลื่นประมาณ 0.75 - 1.3 ไมครอน โดยพลังงานจะถูกสะท้อนประมาณร้อยละ 45 - 50 ของพลังงานที่ตกกระทบ และจะถูกส่งผ่านประมาณร้อยละ 45 - 50 ส่วนพลังงานที่ดูดกลืนจะมีเพียงร้อยละ 5 หรือต่ำกว่าเท่านั้น องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อลักษณะการสะท้อนแสง ในช่วงคลื่นนี้คือ โครงสร้างของใบพืชที่แตกต่างกันไปตามชนิดของพืช และจำนวนใบหรือความหนาแน่นของใบ บริเวณใดที่พืชมีใบเรียงตัวเพียงชั้นเดียวจะสะท้อนแสงได้น้อยกว่าบริเวณที่มีใบพืชหนาแน่น
    
นอกจากนี้ลักษณะการสะท้อนพลังงานในช่วงอินฟราเรดใกล้ของพืชที่มีอาการผิดปกติทางใบจะแตกต่างจากพืชสมบูรณ์ ดังนั้นจึงสามารถใช้ค่าการสะท้อนพลังงานในช่วงอินฟราเรดใกล้สำรวจความผิดปกติทางใบของพืชได้อีกด้วย
ในช่วง Shortwave infrared (1.30-3.00 ไมครอน) พลังงานส่วนใหญ่ถูกดูดกลืนหรือสะท้อนโดยใบพืช แทบจะไม่มีการส่งผ่าน  ช่วงคลื่นที่มีการสะท้อนแสงน้อย ได้แก่ ที่ความยาวคลื่น 1.4, 1.9 และ 2.7 ไมครอน เนื่องจาก พลังงานในช่วงคลื่นดังกล่าวถูกดูดกลืนไว้โดยน้ำในใบพืช เรียกช่วงคลื่นทั้งสามนี้ว่า Water Absorption Bands เป็นช่วงที่ปริมาณน้ำในใบเข้ามามีบทบาท ระดับการสะท้อนในย่านนี้จึงลดต่ำลง
สำหรับช่วงคลื่นที่พืชมีการสะท้อนแสงมากได้แก่ ที่ความยาวคลื่น 1.6 และ 2.2 ไมครอน องค์ประกอบสำคัญของการสะท้อนและการดูดกลืนในช่วงคลื่นนี้คือ ความชื้นในพืช โดยเฉพาะความชื้นของใบ ถ้าความชื้นลดลงการสะท้อนแสงจะเพิ่มขึ้น
ปริมาณความชื้นที่มีผลทำให้ลักษณะการสะท้อนแสงแตกต่างกันไปมากเมื่อปริมาณความชื้นลดลงเหลือเพียงร้อยละ 5.4 หรือต่ำกว่าเท่านั้น ที่ความชื้นต่ำพืชจะมีสภาพอ่อนแอ ใบที่แห้งจะมีการสะท้อนแสงมากและการผลิตคลอโรฟิลล์จะต่ำด้วย คลอโรฟิลล์จะมีอิทธิพลต่อการดูดซับและสะท้อนในช่วงที่ตามองเห็น ทำให้ลักษณะกราฟในช่วงที่ตามองเห็นต่างออกไปด้วย

โรคมือเท้าปากเปื่อย

โรคมือเท้าปากเปื่อย Hand foot mouth syndrome
 เป็นโรคทมักพบการติดเชื้อในกลุ่มทารกและเด็กเล็ก แต่บางรายจะมีอาการรุนแรง ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสที่มีการติดเชื้อ
โรค HFMD ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 5 ปี มีอาการไข้ร่วมกับตุ่มเล็กๆ เกิดขึ้นที่ผิวหนังบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และในปาก ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง หายได้เอง ส่วนน้อยอาจมีอาการทางสมองร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้รุนแรงถึงเสียชีวิตได้ ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุ 1-7 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ coxsackievirus A1 และ EV71 ผู้ป่วยจะมีไข้ฉับพลันและมีแผลเปื่อยเล็กๆ ในลำคอบริเวณเพดาน ลิ้นไก่ ทอนซิล มีอาการเจ็บคอมากร่วมกับมีน้ำลายมาก ยังไม่เคยมีรายงานการเสียชีวิต และอาจมีอาการกลืนลำบากปวดท้องและอาเจียน โรคจะเป็นอยู่ 3 - 6 วัน และมักจะหายเอง 
โรคมือเท้าปากจะเกิดเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus genusซึ่งเชื้อโรคในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย polioviruses, coxsackieviruses, echoviruses, and enteroviruses.
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Enteroviruses ที่พบเฉพาะในมนุษย์ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โรคปากเท้าเปื่อยส่วนใหญ่เกิดจาการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า coxsackie A16 มักไม่รุนแรง เด็กจะหายเป็นปกติภายใน 7-10 วัน ส่วนที่เกิดจากEnterovirus 71 อาจเป็นแบบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ Aseptic meningitis ที่ไม่รุนแรง หรือมีอาการคล้ายโปลิโอ ส่วนที่รุนแรงมากจนอาจเสียชีวิตจะเป็นแบบสมองอักเสบ encephalitis ซึ่งมีอาการอักเสบส่วนก้านสมองทำให้หมดสติ หากเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจะทำให้เกิดหัวใจวาย ความดันโลหิตจะต่ำ มีอาการหัวใจวาย และ/หรือมีภาวะน้ำท่วมปอด
อาการ
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการป่วย หรืออาจพบอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดเมื่อย เป็นต้น จะปรากฏอาการดังกล่าว 3-5 วัน แล้วหายได้เอง สำหรับผู้ที่มีอาการมักจะเริ่มด้วยไข้ เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บคอ หลังจากไข้ 1-2 วันจะเห็นแผลแดงเล็กๆที่ปากโดยเป็นตุ่มน้ำในระยะแรกและแตกเป็นแผล ตำแหน่งของแผลมักจะอยู่ที่เพดานปาก หลังจากนั้นอีก1-2 วันจะเกิดผื่นที่มือและเท้า แต่ก็อาจจะเกิดที่แขน และก้นได้ เด็กที่เจ็บปากมากอาจจะขาดน้ำ
  • ไข้  มีอาการไข้สูงอาจเกิน 39 องศาเซลเซียส 2 วันแล้วจะมีไข้ต่ำๆ ประมาณ 37.5 - 38.5 องศาเซลเซียส อีก 3-5 วัน
  • เจ็บคอเจ็บในปากกลืนน้ำลายไม่ได้ ไม่กินอาหาร
  • พบตุ่มแผลในปาก ส่วนใหญ่พบที่เพดานอ่อนลิ้น กระพุ้งแก้ม อาจมี 1 แผล หรือ 2-3 แผล ขนาด 4-8 มิลลิลิตร เป็นสาเหตุให้เด็กไม่ดูดนม ไม่กินอาหารเพราะเจ็บ
  • ปวดศีรษะ
  •  พบตุ่มพอง (vesicles) สีขาวขุ่นบนฐานรอบสีแดง ขนาด 3-7 มิลลิเมตร บริเวณด้านข้างของนิ้วมือ นิ้วเท้า บางครั้งพบที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส้นเท้า ส่วนมากมีจำนวน 5-6 ตุ่ม เวลากดจะเจ็บ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยแตกเป็นแผล จะหายไปได้เองในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ 
  • เบื่ออาหาร
  • เด็กจะหงุดหงิด
  • ในเด็กโตจะบ่นปวดศีรษะ ปวดหลัง อาจมีอาเจียน เจ็บคอ น้ำลายไหล จากนั้นจะพบตุ่มพองใส ขนาด 1-2 มิลลิเมตร 2 ข้างของบริเวณเหนือต่อมทอนซิล (anteriar fauces) ซึ่งอาจแตกเป็นแผล หลังจากระยะ 2-3 วันแรก แผลจะใหญ่ขึ้นเป็น 3-4 มิลลิเมตร จะเห็นเป็นสีขาวเหลืองอยู่บนฐานสีแดงโดยรอบ ทำให้มีอาการเจ็บคอหรือกลืนลำบากเวลาดูดนมหรือกินอาหาร เด็กจะมีอาการน้ำลายไหล ส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 3-6 วัน ยังไม่เคยมีรายงานการเสียชีวิต 
ระยะฝักตัว
หมายถึงระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการใช้เวลาประมาณ 4-6 วัน
การติดต่อ
โรคนี้มักจะติดต่อในสัปดาห์แรก เชื้อนี้ติดต่อจาก
  • จากมือที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ (ซึ่งอาจจะยังไม่มีอาการ) หรือน้ำในตุ่มพองหรือแผลของผู้ป่วย
  • และโดยการหายใจเอาเชื้อที่แพร่กระจายจากละอองฝอยของการไอ จาม ของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ ( droplet spread)
ระยะที่แพร่เชื้อ
ประมาณอาทิตย์แรกของการเจ็บป่วย เชื้อนั้นอาจจะอยู่ในร่างกายได้เป็นสัปดาห์หลังจากอาการดีขึ้้นแล้ว ซึ่งยังสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้แม้ว่าจะหายแล้ว การแพร่เชื้อมักเกิดได้ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย ซึ่งมีเชื้อออกมามาก เชื้อจะอยู่ในลำคอ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ไวรัสเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุของคอหอยและลำไส้ เพิ่มจำนวนที่ทอนซิลและเนื้อเยื่อของระบบน้ำเหลืองบริเวณลำไส้ และเชื้อจะออกมากับอุจจาระ ยังไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า การแพร่กระจายของโรคเกิดจากแมลง น้ำ อาหาร หรือขยะ 



วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคกรดไหลย้อน


โรคกรดไหลย้อน 
เด็กดีดอทคอม :: กรดไหลย้อน ภัยร้าย!! สุดน่ากลัว
           “โรคกรดไหลย้อน” หรือ Gastro Esophageal Reflux Disease (GERD) มีสาเหตุเกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่บริเวณหลอดอาหาร ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรดทำให้เกิดการอักแสบ โดยตามปกติแล้วหลอดอาหารจะมีการบีบตัวส่งอาหารไปยังกระเพาะอาหาร ซึ่งในช่วงรอยต่อของกระเพาะอาหารและหลอดอาหารจะมีหูรูด ที่ช่วยป้องกันการไหลย้อนของกรด น้ำย่อย หรืออาหาร ไม่ให้ย้อนกลับขึ้นมาได้
           อาการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ...
           โรคกรดไหลย้อนบริเวณหลอดอาหาร :: ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงแหบกว่าปกติ มีอาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ จุกแน่นบริเวณหน้าอกเหมือนมีอะไรมาติดอยู่ในลำคอ ทำให้หายใจไม่สะดวกในเวลานอน กลืนอาหารลำบาก คลื่นไส้ เรอเปรี้ยว
           โรคกรดไหลย้อนบริเวณกล่องเสียง และหลอดลม :: ผู้ป่วยจะมีอาการไอ และเจ็บคอเรื้อรัง เสียงแหบโดยเฉพาะในช่วงเช้า เจ็บหน้าอก
           การรักษา : สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงคุณหมอจะให้ยาลดกรดมาให้ผู้ป่วยกิน นอกจากนี้ยังวิธีการรักษาแบบอื่นทั้งการกลืนแป้งตรวจกระเพาะ, การส่องกล้องตรวจกระเพาะ สำหรับกรณีผู้ป่วยมีอาการรุนแรง คุณหมอจะรักษาด้วยการผ่าตัดผูกหูรูดกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นมาอีก
เด็กดีดอทคอม :: กรดไหลย้อน ภัยร้าย!! สุดน่ากลัว
           6 สิ่งที่ควรรู้
    • กินอาหารที่ย่อยง่าย :: เชื่อว่าน้องๆ ชาว Dek-D.com คงจะให้มื้อเย็นเป็นอาหารมือที่ใหญ่ที่สุดของวันใช่ไหมจ๊ะ ถ้าใช่ล่ะก็พี่ปัดขอร้องว่าให้หยุดทำเดี็ยวนี้!! เพราะมื้อเย็นควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย และควรที่จะกินก่อนข้านอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เพื่อให้อาหารที่กินเข้าไปนั้นได้ย่อยก่อนที่เราทุกคนจะนอนหลับพักผ่อน
    • กินอาหาร 5 มื้อ :: โดยแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ 5 มื้อ ได้แก่ อาหารเช้า อาหารว่างตอนสาย อาหารกลางวัน อาหารว่างตอนบ่าย และอาหารเย็น ที่ต้องแบ่งมื้ออาหารออกเป็นแบบนี้นั้น เพื่อไม่ให้ร่างกายทำงานหนักจนเกินไป ซึ่งอีกสิ่งหนึ่งที่น้องๆ ชาว Dek-D.com อย่าลืม คือ อาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวันนั้นต้องให้ครบ 5 หมู่ นะจ๊ะ
    • รู้จักลด ละ เลิก :: อาหารที่รสชาติเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด ของมัน ของทอด กาแฟ ช็อกโกแลต ผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยว กระเทียม เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ซอสมะเขือเทศ ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ดังนั้นถ้าน้องๆ ชาว Dek-D.com ไม่อยากเป็นโรคนี้ จึงควรรู้จักลด ละ เลิก อาหารเหล่านั้น แต่ถ้าอยากกินจริงๆ ก็ให้กินในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
    • นอนตะแคงซ้าย :: สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกรดไหลย้อนแล้วควรที่จะนอนท่าตะแคงซ้ายนะจ๊ะ เพราะมีการศึกษาพบว่าท่านี้จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย แต่ถ้านอนท่าตะแคงขวาแล้วล่ะก็ จะยิ่งทำให้อาการของโรคหนักยิ่งขึ้น
    • หนุนหัวเตียง :: ผู้ป่วยที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6 – 10 นิ้วจากพื้นราบ โดยให้วัสดุรองขาเตียง เช่น ไม้ อิฐ ห้าม!! ใช้หมอนรองศีรษะเพื่อเป็นการยกศีรษะให้สูงขึ้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้ความดันในช่องท้องยิ่งเพิ่มมากขึ้น
    • ใส่ชุดสบายๆ :: ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย ไม่รัดเอว หรือหน้าท้องให้รู้อึดอัดจนเกินไป

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

iPhone 5


อัพเดต! iPhone 5 น่าจะเปิดตัวช่วงกันยายน - ตุลาคมนี้


iphone 5
           ยังคงมีกระแสข่าวออกมาเรื่อย ๆ สำหรับ "iPhone 5" ที่เหล่าสาวกแอปเปิ้ลหลายต่อหลายคน ให้ความสนใจและใจจดใจจ่อรอคอยการเปิดตัวอย่างเป็นทางการกันอยู่นาน มาล่าสุด มีกระแสข่าวโหมกันมาอีกครั้งว่า ทางแอปเปิ้ลพร้อมแล้วที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของพวกเขาเสียที
           ตามข้อมูลจาก macrumors.com ระบุไว้ว่า มีแหล่งข่าวจากฝั่งเอเชียที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ ออกมายืนยันว่า แอปเปิ้ลได้เลือกช่วงเวลาประมาณเดือนกันยายน - เดือนตุลาคมของปี 2012 นี้ เป็นช่วงเวลาในการเปิดตัว iPhone 5 อย่างเป็นทางการ ซึ่งถ้าหากเป็นตามที่ว่ามาจริง ๆ นั่นจะเท่ากับว่า เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แอปเปิ้ลได้เปิดตัว "iPhone 4s" ครบ 1 ปีพอดิบพอดีนั่นเอง
           นอกจากนั้นแล้ว นี่จะเป็นการยกเลิกการเปิดตัว iPhone แบบเดิม ๆ ของทางแอปเปิ้ลด้วย กล่าวคือ ตามปกติแล้วแอปเปิ้ลมักจะเลือกช่วงกลางปีในการเผยโฉมสินค้าใหม่ของพวกเขา แต่นี่เลื่อนมาเป็นช่วงปลายปี ก็คงจะมีความน่าสนใจที่ต้องคอยจับตามองมาก ๆ เลยทีเดียว
           ทั้งนี้ เห็นกระแสข่าวมาแรงแบบนี้แล้ว ยังไงก็ขอให้ฟังหูไว้หูกันก่อน อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจกันไป เพราะยังไงซะ ก็ยังไม่มีการยืนยันแบบ 100% เต็มจากทางแอปเปิ้ลแต่อย่างใด..









 
 

[3 ตุลาคม] มาอีก! iPhone 5 จำลองที่อ้างว่าเหมือนจริงเกือบ 100%
 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก giga.de

           ออกมาอีกแล้ว ภาพจำลองเสมือนจริงไอโฟน 5 ที่จะเปิดตัวที่สหรัฐฯ 4 ตุลาคมนี้

           วานนี้ (2 ตุลาคม) เว็บไซต์เดลิเมล์ของอังกฤษ ได้รายงานข่าวที่อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญจาก Giga Netzwerk ซึ่งได้ออกมาเผยว่า ขณะนี้นักออกแบบได้ทำการเผยภาพการจำลองสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของแอปเปิ้ล นั่นก็คือ ไอโฟน 5 ก่อนวันเปิดตัวเพียงแค่ 2 วัน ซึ่งเชื่อว่าแบบจำลองนี้จะคล้ายกับของจริงมากกว่า 98 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว

           ตามรายงานระบุว่า ไอโฟนจำลองนี้จะแสดงให้เห็นดีไซน์ของตัวเครื่องทั้งหมด โดยด้านหลังจะเปลี่ยนมาใช้เป็นอลูมิเนียมเรียบหรูแทนอย่างเดิมที่เป็นแก้ว ส่วนปุ่ม home นั้นจะมีขนาดกว้างกว่าไอโฟน 4 มีการสลับตำแหน่งปุ่มเปิดปิดเสียงไปอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนปุ่มกล้องก็ยังอยู่ด้านเดิมเหมือนกับไอโฟน 4

       
   และที่สำคัญคือ เครื่องไอโฟน 5 นี้จะมีความบางเฉียบกว่าไอโฟน 4 พร้อมกันนี้ยังมีการคาดกันว่าไอโฟน 5 นี้จะมีหน้าจอทัชสกรีนที่ใหญ่กว่าและระบบประมวลผลที่เร็วกว่าไอโฟน 4  อีกด้วย ส่วนระบบปฏิบัติการนั้นคาดว่า จะมีชุดคำสั่งการรู้จำเสียงพูดได้ดีเยี่ยม ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สั่งการไปยังอีเมล์ หรือ sms ได้ 

            อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ดังกล่าวยังระบุว่า สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของแอปเปิ้ลนี้อาจเป็นได้ทั้ง "ไอโฟน 4 เอส" และ "ไอโฟน 5" ซึ่งก็ต้องรอลุ้นในวันเปิดตัวซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในวันที่ 4 ตุลาคมนี้ตามเวลาท้องถิ่นของเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยจะมี ทิม คุก ซึ่งจะขึ้นเปิดตัวครั้งแรกในฐานะซีอีโอคนใหม่ แทนที่ สตีฟ จ็อบส์ ที่ป่วยและได้ลาออกไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มาทำการเปิดตัวสมารท์โฟนรุ่นใหม่ของแอปเปิ้ลอย่างไอโฟน 5 นั่นเอง







[28 กันยายน] iPhone 5 พร้อมเปิดตัวแล้ว 4 ต.ค.นี้

         หลังจากรอคอยรอลุ้นกันมานานหลายเดือน สำหรับการเปิดตัว iPhone 5 ที่มีข่าวลือว่าจะเปิดตัวมาแล้วหลายครั้ง แต่สาวกไอโฟนก็ต้องจ๋อยกันมาตลอด ล่าสุด แอปเปิ้ลก็ได้ฤกษ์เปิดตัวแบบจริง ๆ กันซะที โดยประกาศเปิดตัว iPhone 5 ในวันที่ 4 ตุลาคมที่จะถึงนี้

           โดยทางแอปเปิ้ลได้ส่งคำเชิญต่อสื่อมวลชน ให้เข้าร่วมงานเปิดตัว iPhone 5 ตั้งแต่เมื่อวันอังคาร (28) ที่ผ่านมา ซึ่งงานเปิดตัวจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ตุลาคม เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานใหญ่ในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนียเช่นเดียวกับทุกครั้ง และคาดว่าในงานเปิดตัว iPhone 5 ครั้งนี้ เราอาจจะไม่ได้เห็น สตีฟ จ็อบส์ บนเวทีเปิดตัวเหมือนครั้งก่อน ๆ แต่จะได้เห็น ทิม คุ๊ก CEO คนใหม่ของแอปเปิ้ล ทำหน้าที่แทน และนี่จะเป็นการปรากฎตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของเขา

            นอกจากนี้ยังมีข่าวลือออกมาอีกว่า ในวันที่ 4 ตุลาคมนี้ จะมีการเปิดตัว iPhone 4 รุ่นใหม่ออกมาพร้อม ๆ กับ iPhone 5 หลังจาก iPhone 4 ประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนระดับเบสท์เซลเลอร์ นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ขณะที่บางแหล่งข่าวก็คาดว่า iPhone 4s และ iPhone 5 ที่ลือกันว่าเป็นคนละตัวกันนั้น จริง ๆ อาจเป็นตัวเดียวกันก็ได้

             งานนี้ ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร และ iPhone 5 ที่รอคอยจะมีหน้าตาเหมือนกับที่หลายคนคิดไว้หรือไม่ สาวกไอโฟนเตรียมนับเวลาถอยหลังรอได้เลยจ้า



iphone 5

[22 กันยายน] ลืออีก! แอปเปิ้ลจะวางขาย iPhone 5 วันที่ 21 ตุลาคมนี้ 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก techfreakstuff.com 
          ดูเหมือนว่า iPhone 5 ใกล้จะได้ฤกษ์เปิดตัวเต็มที หลังจากที่มีข่าวลือหนาหูมากขึ้นทุกขณะ ล่าสุด แหล่งข่าวได้พบข้อมูลแจ้งกำหนดการวางขาย iPhone 5 ในวันที่ 21 ตุลาคมนี้

          โดยแหล่งข่าวจากเว็บไซต์ This Is My Next ได้ให้ข้อมูลว่าร้านค้า Best Buy กำลังอยู่ในช่วงการวางแผนติดตั้งอุปกรณ์ของ Apple บางอย่าง อีกทั้ง ยังทราบมาว่าได้มีคำสั่งให้ผู้จัดการมาถึงร้านตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า แทนที่จะเป็น 7 โมงตามปกติ ซึ่งนับเป็นการเตรียมการในรูปแบบเดียวกับตอนที่วางจำหน่าย iPhone 4 มาก

          นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าได้มีแผนเรียกประชุมผู้จัดการของ Besy Buy ครั้งใหญ่ในวันที่ 10 ตุลาคม เพื่อหารือเกี่ยวกับการวางจำหน่ายครั้งใหญ่อีกด้วย แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสินค้าที่จะวางจำหน่ายนั้นคืออะไรกันแน่ 
          อย่างไรก็ตาม สำหรับข่าวลือเรื่องนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่ข่าวโคมลอยเหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา เนื่องจากข่าวดังกล่าวสอดคล้องกับข่าวการเปิดสั่งจอง iPhone5 ที่ประเทศเยอรมัน เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน

          โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ดอยช์เทเลคอม (Deutsche Telekom) เริ่มเปิดรับจองไอโฟนรุ่นต่อไปหรือที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า iPhone 5 ซึ่งประชาสัมพันธ์ของดอยช์เทเลคอมนั้นออกมายอมรับเช่นกันว่า เป็นความจริงตามรายงาน หลังมีข่าวแว่วมาว่า iPhone 5 นั้นเริ่มเข้าสู่สายพานประกอบเครื่องแล้ว

          อย่างไรก็ตาม การสั่งจอง iPhone5 นั้นดำเนินการแบบเงียบ ๆ และไม่มีการสั่งจองทางออนไลน์ โดยผู้สนใจต้องเดินไปติดต่อขอคูปองที่ร้านด้วยตัวเอง เพื่อรับสิทธิซื้อก่อนใครเมื่อตัวเครื่องเริ่มวางจำหน่ายจริง แต่ทั้งนี้ไม่มีการเปิดเผยจำนวนสาขาที่ดอยช์เทเลคอมเปิดให้รับบัตรจองไอโฟนรุ่นหน้า แต่มีการระบุว่าลูกค้า 1 รายมีสิทธิ์รับบัตร 1 ใบเท่านั้น โดยผู้รับใบจองยังต้องซื้อไอโฟนในระบบมาก่อนอีกด้วย

          งานนี้.... ไม่รู้ว่าข่าวลือจะเป็นแค่ข่าวลือเหมือนที่ผ่านมาอีกหรือไม่ สาวกไอโฟนคงต้องอดใจรอดูกันต่อไปนะคะ ;)



[22 สิงหาคม] ลือ Apple เตรียมเปิดจอง iphone5 30 ก.ย.นี้

          ลืออีกระลอก! Apple เตรียมเปิดให้จอง iPhone5 ได้ในวันที่ 30 กันยายน และจะขายจริงในวันที่ 7 ตุลาคมนี้

          เกาะติดกระแส iPhone5 กันมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับสาวกไอโฟนทั้งหลาย ซึ่งตั้งตารอมาเป็นเวลานานจากข่าวลือที่ออกมาอย่างมากมาย ทั้งวันที่เริ่มวางจำหน่ายที่มีข่าวออกมาว่า จะมีการวางจำหน่ายในวันที่ 7 ตุลาคมนี้บ้าง บางกระแสก็บอกว่ามีการวางจำหน่ายในวันที่ 14 ตุลาคมบ้าง

          ล่าสุด ก็มีกระแสข่าวใหม่ออกมาอีกเช่นเดียวกันว่า ทาง Apple จะทำการเปิดให้สั่งจองหรือ Pre-Order แล้ว ซึ่งทางเว็บไซต์ 9to5mac ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเปิดจองในวันที่ 30 กันยายนนี้ ก่อนจะขายจริงในวันที่ 7 ตุลาคม

          สำหรับ iPhone รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวและวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้ มีการออกมารายงานข่าวและลือกันก่อนหน้านี้ว่า จะมีการเปิดตัวและวางจำหน่ายถึง 2 รุ่น รุ่นแรกเป็นการอัพเกรดจาก iPhone 4 โดยจะมีการใช้ dual-core A5 processor, กล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล และระบบปฎิบัติการ iOS5 ในขณะที่อีกรุ่นหนึ่งนั้นจะออกมาในลักษณะของ iPhone ราคาประหยัดเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่กระเป๋าอาจจะไม่หนักเท่าไหร่นัก

          อย่างไรก็ตาม ข่าวทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดจากทาง Apple แต่อย่างใด ดังนั้นสาวกไอโฟนคงต้องเกาะติดข่าวการออกสู่ตลาดของ iPhone5 กันชนิดติดขอบต่อไป


[3 สิงหาคม] iphone 5 มาแล้ว  iPhone 5 เจ๋งกว่าเดิม


          กลายเป็นโทรศัพท์ที่ตกเป็น talk of the town มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ iPhone จากแอปเปิ้ลที่เพิ่งจะมีกระแสว่าผู้ใช้ iPhone 4 ต้องออกมาโวยทั้งเรื่องสัญญาณและเรื่องนาฬิกาปลุกช้ากว่าเวลากันไปหมาด ๆ ล่าสุด ก็มีข่าวลือสะพัดวงการไอทีว่า iPhone เตรียมเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ออกมาให้ยลโฉมกัน และดูท่าว่าจะเป็นเวอร์ชั่นแก้ตัว ที่ทำออกมาชนิดที่เรียกว่าเต็มประสิทธิภาพเลยทีเดียว ส่วน iPhone รุ่นใหม่นี้ จะเรียกว่า iPhone 5 หรือ iPhone 4s นั้น ยังไม่ได้รับการยืนยันจากทางแอปเปิ้ลแต่อย่างใด

          แต่ไม่ว่าจะ iPhone 5 หรือ iPhone 4s ก็ตาม จุดที่น่าสนใจของ iPhone รุ่นใหม่นี้ ว่ากันว่า ได้รับการพัฒนาให้พิเศษกว่า iPhone รุ่นอื่น คือจะเน้นในระบบซิมการ์ดที่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายใด ๆ ก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแอปเปิ้ลได้จับมือกับบริษัทซิมการ์ด Gemalto เพื่อออกซิมการ์ดชนิดพิเศษ ที่สามารถให้ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ต ตั้งค่าเครือข่ายโทรศัพท์ได้ทุกเครือข่ายตามที่ผู้ใช้ต้องการ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ยังไม่มีบริษัทผลิตโทรศัพท์ที่ไหนเคยทำมาก่อน

          และนอกจากเรื่องของซิมการ์ดเลือกเครือข่ายใดตามใจผู้ใช้แล้ว แอปเปิ้ลก็ยังมีข่าวที่ทำให้แฟน ๆ iPhone ตกตะลึงกันอีกครั้ง เมื่อมีข่าวออกมาว่าแอปเปิ้ลจะเพิ่มเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในระยะสั้น หรือ NFC  (Near Field Communication) เข้าไปด้วย ทำให้ผู้ใช้สามารถเก็บข้อมูลและโอนถ่ายข้อมูลของเครื่อง Mac ไว้ในเครื่อง iPhone รุ่นใหม่นี้ได้ด้วย ประหนึ่งกับว่า iPhone รุ่นใหม่นี้ เป็นเครื่อง Mac ที่ผู้ใช้พกพาไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลานั่นเอง

          งานนี้รับรองว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า iPhone 4 เป็นไหน ๆ ส่วนใครที่กำลังวางแผนจะซื้อ iPhone 4 เร็ว ๆ นี้ อดใจรอกันหน่อยก็ดี เพราะ iPhone 5 หรือ iPhone 4s นี้ มีแพลนจะวางจำหน่ายภายในกลางปี 2011 นี้แน่นอนจ้า


ลือ! ไอโฟน5 เปิดตัวกลางเดือน ก.ย. ไอแพด3 เจอกันสิ้นปี
          วง การไอทีมีข่าวล่ามาไวให้ได้ลุ้นกันอีกแล้ว เมื่อล่าสุดมีกระแสข่าวว่า แอปเปิ้ล (Apple) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตไอโฟนและไอแพดที่มีผู้ใช้ทั่วโลกจำนวนมาก เตรียมกำหนดวันและเวลาในการเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) และไอแพด 3 (iPad 3) ในช่วงสิ้นปีนี้

          ทั้งนี้ สื่อไอทีหลายสำนักต่างเชื่อกันว่าข่าวลือที่ว่านี้มีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นจริง โดย เฉพาะไอโฟน 5 ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวมากมายว่าแอปเปิ้ลจ่อที่จะเปิดตัวในปีนี้อยู่หลาย ต่อหลายครั้ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ข่าวโคมลอยเท่านั้น

          เดอะไชน่า ไทม์ส สื่อดังของจีนระบุว่า มี ความเป็นได้ที่ในช่วงวันที่ 6-15 กันยายน จะเป็นช่วงเวลาที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของไอโฟน 5 ส่วนไอแพด 3 มีความน่าจะเป็นว่าอาจจะมีการเปิดตัวในเดือนตุลาคม หรือไม่ก็ช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้าในเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ 

          อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงการคาดเดาของสื่อเท่านั้น ไม่ได้มีการยืนยันว่าจะเป็นจริงตามที่กล่าวมาแต่อย่างใด ข่าวลือที่ว่านี้จะเป็นจริงหรือไม่ จะมีความน่าจะเป็นมากน้อยขนาดไหน ต้นเดือนกันยายนนี้ได้รู้กันอย่างแน่นอน !!


ลือ! แอปเปิ้ลเปิดตัว iPhone4S พร้อม iPhone5


         ข่าวลือล่าสุด แอปเปิ้ลจะเปิดตัว iPhone4S พร้อม iPhone5 โดย iPhone4S จะเปิดตัวในราคาเพียง 10,500 บาทเท่านั้น

          หลังจากที่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องสำหรับ iPhone5 ให้สาวกไอโฟนตั้งหน้าตั้งตารอกันอย่างใจจดใจจ่อนั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้มีการเผยข้อมูลว่า Apple จะเปิดตัว iPhone 5 และ iPhone 4S พร้อมกันอย่างแน่นอน
           
          โดยนายคริส วิตมอร์ นักวิเคราะห์จากธนาคารดอยซ์แบงก์ กล่าวว่า ทาง Apple กำลังจะมีการเปิดตัว iPhone5 และ iPhone4S ออกมาในเร็ววันนี้ โดยความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่น ก็คือ iPhone4S จะถือได้ว่าเป็นเวอร์ชั่นอัพเดทแก้ไขข้อผิดพลาดของ iPhone4 ที่มีวางขายอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง ในขณะที่ iPhone5 นั้นจะมีการปรับโฉมหน้าตาไปจากเดิม ทั้งจากดีไซน์ภายนอกที่อาจจะใช้งานหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นและรูปทรงที่แปลกตา ขึ้นเล็กน้อย

          และภายในเครื่อง iPhone5 ก็จะมาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการอัพเกรดให้ดียิ่งขึ้น ด้วย CPU รุ่นใหม่ Apple A5 Dual-Core ที่จะทำเครื่องโหลดเร็วกว่าเดิม รวมถึงจะใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง iOS 5 อีกด้วย และที่ฮือฮากันมากที่สุด ก็คือ iPhone5 จะมาพร้อมกับกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล จากเดิมที่มีความละเอียด 5 ล้านพิกเซลเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่มีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว

            สำหรับ iPhone4S ยังมีจุดขายที่สำคัญสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่มีงบจำกัด นั่นก็คือ ราคาที่ถือว่าถูกกว่ารุ่นหลักอย่าง iPhone5 เพื่อเข้าไปตีตลาดในส่วนของผู้ที่ใช้มือถือราคาประหยัดทั้งหลาย โดยราคาของ iPhone4S ที่คาดการณ์เอาไว้นั่นน่าจะอยู่ที่ราว $349 หรือประมาณ 10,500 บาทเท่านั้นพร้อมกับแพ็คเกจค่าโทรหรือ data แบบ pre-paid ที่จะออกมาพร้อมกับผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละเจ้าอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลทางภูมิศาสตร์


เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลทางภูมิศาสตร์

ประเภทให้ข้อมูล  ได้แก่  แผนที่  รูปถ่ายทางอากาศ   ภาพจากดาวเทียม  และอินเตอร์เน็ต

 รีโมทเซนซิ่ง              
      หมายถึง   การรับสัญญาณภาพ  หรือสัญญาณข้อมูลตัวเลขที่เกิดขึ้นจากวัตถุหรือพื้นที่โดยที่ไม่ได้สัมผัสกับวัตถุหรือพื้นที่นั้น  สายงานที่เกี่ยวข้องกับรีโมทเซนซิ่งมากและเป็นที่เข้าใจกันเป็นอย่างดี คือ  รูปถ่ายทางอากาศและภาพจากข้อมูลดาวเทียม  ซึ่งบางครั้งที่ใช้ในการสื่อความหมายของรีโมทเซนซิ่ง  คือ  ข้อมูลระยะทางไกล  ข้อมูลจากดาวเทียมหรือโทรสัมผัส 
         3.1 รูปถ่ายทางอากาศ  คือ  รูปที่ได้จากการถ่ายทำทางอากาศ   โดยผ่านกล้องและฟิลม์หรือบันทึกตัวเลข แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของข้อมูลในพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง
                   สำหรับประเทศไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบผลิตรูปถ่ายทางอากาศ คือ กรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม ผลิตเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหารตั้งแต่ พ.ศ.2496 ซึ่งปัจจุบันมีการจัดทำเพิ่มขึ้นหลายชุด  และได้รับอนุญาตให้หน่วยงานของรัฐและสถาบันการศึกษาต่างๆ ใช้รูปถ่ายทางอากาศในการศึกษาและวิจัยได้

ประเภทของรูปถ่ายทางอากาศ
         1. รูปถ่ายดิ่ง  หมายถึง ภาพที่ถ่ายโดยใช้แกนกล้องอยู่ในแนวดิ่ง  หรือเกือบจะดิ่งกับพื้นผิวของลักษณะภูมิประเทศ  สามารถนำมาศึกษาหรือดูภาพในลักษณะสามมิติได้
     
          2. รูปถ่ายเฉียง หมายถึง ภาพที่ถ่ายโดยให้แกนกล้องเอียงจากแนวดิ่ง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ            2.1 รูปถ่ายเฉียงสูง  เป็นรูปถ่ายที่เห็นขอบฟ้าปรากฏอยู่บนรูปด้วย
            2.2 รูปถ่ายเฉียงต่ำ เป็นรูปถ่ายที่ไม่ปรากฏขอบฟ้าบนรูป
     
รูปถ่ายทางอากาศแนวเฉียงสูง  :  Tokyo
 รูปถ่ายทางอากาศแนวเฉียงต่ำ
 หลักการแปลความหมายจากรูปถ่ายทางอากาศ มีหลักการดังนี้
          การแปลความหมายรายละเอียดภาพในรูปถ่ายทางอากาศนั้น  มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณารายละเอียดในรูปถ่ายทางอากาศมีอยู่ด้วยกัน ๗ ประการคือ
          1. รูปร่าง รูปร่างของรายละเอียดในภูมิประเทศที่ปรากฏบนรูปถ่ายจะมีลักษณะเป็นภาพ แบนราบ รายละเอียดของวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นจะมีรูปร่างสม่ำเสมอเป็นระเบียบเป็นแนวตรง มีโค้งเรียบ ส่วนลักษณะรายละเอียดที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ จะมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ ไม่เป็นระเบียบ การที่รูปร่างของธรรมชาติแปลกแตกต่างกันนี้จะเป็นส่วนช่วยให้สามารถแปลความหมายรายละเอียดในรูปถ่ายได้
          2. ขนาด การพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับขนาดนี้ ต้องมีความรู้เรื่องความสัมพันธ์และสัมบูรณ์ของขนาด หากเราพิจารณาภาพ ของรายละเอียดในรูปถ่าย และรู้ขนาดที่แน่นอนของรายละเอียดที่ปรากฏจริงในภูมิประเทศแล้วเราก็สามารถหาขนาดของรายละเอียดอื่นๆ ได้โดยเปรียบเทียบกับขนาดของรายละเอียดที่ทราบแล้ว
          3. สี วัตถุที่มีสีต่างๆ กันจะมีคุณสมบัติการสะท้อนของแสงต่างกันด้วย  จึงทำให้การเห็นเงาหรือสีของวัตถุเปลี่ยนแปลงไปในรูปถ่ายเนื่องจากฟิล์มรูปถ่ายทางอากาศที่ใช้ส่วนมากเป็นฟิล์มชนิดธรรมดา ไม่ใช้ฟิล์มสี ดังนั้นสีของวัตถุต่างๆ จึงปรากฏเป็นสีเทาชนิดต่างๆ กัน โดยมีระดับของสีจากชนิดเกือบดำไปจนถึงสีขาว ลักษณะของสีเทาของรายละเอียดที่ปรากฏบนรูปถ่ายเรียกว่าสีของภาพ ความเข้มหรือความจางของสีของภาพจะขึ้นอยู่กับจำนวนแสงสว่างที่สะท้อนจากรายละเอียดในภูมิประเทศมายังกล้องถ่ายรูป รายละเอียด ใดให้ปริมาณการสะท้อนแสงมากจะมีลักษณะสีของภาพปรากฏค่อนข้างเป็นสีขาว หากรายละเอียดใดไม่มีอาการสะท้อนแสงก็จะมีสีของภาพเป็นสีดำ  ปริมาณการสะท้อนแสงนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและชนิดของรายละเอียดที่ปรากฏในภูมิประเทศ และมุมสะท้อนของลำแสงที่พุ่งมายังกล้องถ่ายรูป
          4. รูปแบบ ลักษณะรายละเอียดในรูปถ่ายจะมีรูปแบบแตกต่างกัน  ระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติกับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น การจัดต้นไม้ในสวน เมื่อเปรียบเทียบกับต้นไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้วจะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน
          5. เงา การพิจารณาเรื่องเงา นับว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญมากในการแปลความหมายรายละเอียดบนรูปถ่ายทางอากาศ การพิจารณารูปร่างของรายละเอียดให้ได้ผลดีจะพิจารณาจากเงาได้มากกว่าการพิจารณาจากสีหรือลวดลายทั้งนี้เนื่องจากว่าขนาดทางดิ่งที่แสดงด้วยเงานั้น  จะปรากฏให้เห็นเด่นชัดกว่าขนาดในทางราบที่แสดงด้วยภาพของรายละเอียด สีของภาพ รายละเอียดจะเปลี่ยนไปตามสภาพสิ่งแวดล้อม แต่เงาจะแสดงให้เห็นได้ชัดเจน
          6. ตำแหน่งในภูมิประเทศ การพิจารณารายละเอียดในภูมิประเทศ  บางครั้งอาจต้องพิจารณาจากความสูงสัมพันธ์ ลักษณะทางน้ำ เป็นตัวสำคัญอย่างหนึ่งที่ใช้พิจารณาลักษณะสภาพดิน หรือการเกิดพืชและพันธุ์ไม่ได้
          7. ความหยาบละเอียด ระดับความหยาบหรือความละเอียดของภาพในรูปถ่าย อาจใช้ ประโยชน์ได้ในการแปลความหมายภาพ ลักษณะความหยาบละเอียดนี้เมื่อคิดเท่ากับขนาดวัตถุให้พอดีแล้ว จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับมาตราส่วนรูปถ่าย
          การแปลความหมายภาพนี้ แต่เดิมจะใช้หลักเกณฑ์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นข้อพิจารณา  แต่ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีได้เจริญก้าวหน้าไปมาก มีการกวาดตรวจ (scanning) รายละเอียดบนรูปถ่ายหรือทำข้อมูลเป็นตัวเลข ทำให้เกิดระบบอัตโนมัติขึ้นในการใช้รูปถ่ายเพื่อกิจการต่างๆ เช่น การทำแผนที่ เป็นต้น จากระบบการทำข้อมูลตัวเลขจากรูปถ่ายนี่เอง ที่ทำให้มีการทดลองแปลความหมายภาพโดยอัตโนมัติขึ้น (automatic image interpretation) มีการทดลองกวาดตรวจอัตโนมัติและใช้เครื่องมือประกอบ ซึ่งมีชื่อว่าเครื่องมือ แพตเทิร์น  รีคอกนิชัน (pattern recognition equipment) พบว่ามีความเชื่อถือได้ถึง ๘๐% ถ้านำมาใช้ในการแปลลักษณะภูมิประเทศ ๔ ชนิดคือทางน้ำ พื้นที่เพาะปลูก  พืชพรรณไม้ และบริเวณ ชุมชนในเมือง หากได้มีการพัฒนาทางด้านออปติกอิเล็กทรอนิกส์ (optic electronics) ให้มากขึ้นแล้ว จะทำให้ผู้แปลความหมายภาพได้ใช้เครื่องมือบันทึกการกวาดตรวจแบบวิเคราะห์ที่ทำคำสั่งไว้ มาใช้ในงานจำแนกรายละเอียดได้ และเมื่อได้วิเคราะห์งานแปลความหมายจากพื้นที่เป้าหมายที่ครอบคลุมพื้นที่ซ้ำกันแล้ว จะเห็นว่าสามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้ชัดเจนขึ้น
          ประโยชน์ของการแปลความหมายภาพภูมิประเทศ คือการนำไปใช้ในกิจการต่างๆ มาก มายหลายประการ  เช่น  การศึกษาด้านธรณีวิทยารูปร่างของที่ดิน การเกษตรและการใช้ประโยชน์ที่ดิน กิจการด้านป่าไม้  ด้านวิศวกรรม อุตสาหกรรม การวิเคราะห์เป้าหมายทางการทหารและการข่าว เป็นต้น นับได้ว่าวิธีการนี้มีประโยชน์นานัปการ เหมาะแก่การนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศในทุกด้าน

ขั้นตอนการถ่ายรูปทางอากาศ
           ในการถ่ายรูปทางอากาศในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง จำเป็นต้องมีการกำหนดพื้นที่ให้ครอบคลุมบริเวณที่ต้องการและกำหนดแนวถ่ายรูปให้เป็นแนวขนานกัน โดยแนวขนานนี้จะกำหนดให้เป็นทิศทาง ออก-ตก หรือแนวขนานทิศทาง เหนือ-ใต้ ก็ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะบริเวณที่ต้องการ โดยแนวเส้นขนานนี้ถูกเรียกว่าแนวบิน (flight lines) หรือ แถบบิน (flight strips) เมื่อกำหนดแนวบินได้แล้ว จึงทำการถ่ายภาพโดยใช้เทคนิคถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง โดยถ่ายภาพให้ครบตามแนวบินจนครอบคลุมพื้นที่ที่ต้องการ และจะได้รูปที่เรียงลำดับต่อกัน ซึ่งรูปที่ถ่ายข้างเคียงกันจะมีส่วนเหลื่อมซ้อนกัน (end lap หรือ over lap) ประมาณร้อยละ 60 ซึ่งรูปถ่ายบริเวณที่ซ้อนกันนี้มีประโยชน์ในการใช้ดูภาพสามมิติ เราสามารถดูภาพสามมิติได้ด้วยการใช้กล้องดูภาพสามมิติ (Stereoscope) ภาพสามมิตินี้ก็จะเหมือนกับหุ่นจำลองภูมิประเทศ เนื่องจากพื้นที่แต่ละโครงการมักมีบริเวณกว้างใหญ่ ทำให้มีแนวบินได้หลายแนวบิน และการบินถ่ายแบบต่อเนื่องจะต้องให้มีส่วนเกย (side lap) ของแต่ละแนวบินด้วย โดยส่วนเกยนี้ จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 ส่วนนี้มีไว้เพื่อใช้ในการดูภาพสามมิติ เช่นกัน และมีไว้เพื่อต่อรูปภาพให้ต่อเนื่องเป็นรูปเดียวกัน การต่อรูปภาพเรียกว่า Mosaic
         รูปถ่ายทางอากาศมีประโยชน์ต่อการเรียนทางภูมิศาสตร์  การศึกษาทรัพยากรธรรมชาติ  เมืองและหมู่บ้าน  โรงงานอุตสาหกรรม  ความหลากหลายทางชีวภาพสิ่งแวดล้อม  และอื่นๆอีกมากเช่น(1)    การสำรวจและทำแผนที่ภูมิประเทศ
(2)
    การสำรวจและติดตามการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(3)
    การสำรวจและติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่การเกษตร  การใช้ที่ดิน(4)    การวางผังเมืองและชุมชน
(5)
   การสำรวจและติดตามการเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางชีวภาพ(6)    การสำรวจแหล่งโบราณคดี
(7)
    การคมนาคมทางบก  ทางน้ำ  การทหาร